วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

Birds and the environment 7


การดูนกในธรรมชาติ
เมื่อ จะออกไปดูนกในธรรมชาตินักดูนกต้องเตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เริ่มด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปดูนกให้มากที่สุดเช่น ลักษณะภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศ เส้นทางที่ใช้ดูนก ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถเตรียมอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสมและครบถ้วน เช่น เมื่อจะไปดูนกที่ภูเขาสูง ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไป รวมทั้งฤดูกาลที่เปลี่ยนไปก็จะทำให้ได้พบนกชนิดใหม่เพิ่มขึ้นด้วย เช่นในฤดูหนาวที่มีนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามาควรไปดูนกตามชายทะเลหรือนกป่าชน ภูเขาสูงภาคเหนือ ส่วนฤดูฝนเป็นช่วงที่ควรเลือกไปดูนกประจำถิ่นในป่า ทั้งนี้การศึกษาชนิดของนกที่สามารถพบได้ในสถานที่ที่ไปดูนกจะทำให้เราทราบ ข้อมูลและ คาดหวังได้ว่าจะพบนกอะไรได้บ้างในสถานที่นั้น
 
 
ข้อควรปฏิบัติในการดูนก
1. ควรออกไปดูนกเป็นกลุ่มเล็กจะทำให้มีโอกาสพบเห็นนกได้ง่ายกว่าออกไปกลุ่มใหญ่ ควรชักชวนเพื่อนที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญเรื่องนกไปด้วย
2. เมื่อไปถึงสถานที่ดูนกแล้วต้องทำตัวให้เงียบที่สุดอย่าพูดคุยโดยไม่จำเป็น เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังเพราะนกมักตกใจง่าย
3. พยายามสำรวจดูและฟังเสียงนกรอบๆ ตัว มองหานกตั้งแต่พื้นดินในกอหญ้า ตามพุ่มไม้ และบนต้นไม้ใหญ่ ตั้งแต่ระดับโคนต้นจนถึงเรือนยอดรวมทั้งบนท้องฟ้าเพราะนกแต่ละชนิดอาศัยอยู่ ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
4. หากออกไปดูนกเป็นกลุ่มเมื่อเห็นนกไม่ควรแย่งกันดูแต่ควรส่องกล้องจากตำแหน่ง ที่แต่ละคนยืนถ้าไม่เห็นจริงๆ จึงค่อยเปลี่ยนตำแหน่งอย่างช้าๆ และควรบอกตำแหน่งที่นกเกาะกันอยู่ให้ผู้ที่ยังไม่เห็นต่อกันไปแต่ต้องทำ อย่างเงียบที่สุดไม่ควรแสดง ความตื่นเต้นหรือเสียงดังจนเกินไปจนนกบินหนีไป
5. หลังจากเห็นนกแล้วควรส่องกล้องดูนิ่งๆพยายามสังเกตุจดจำรายละเอียดต่างๆ ของนกให้มากที่สุด เช่น สีสัน ลักษณะหัว ปาก หลัง ท้อง ฯลฯ รวมทั้งพฤติกรรมที่แสดงออก แล้วจดรายละเอียดที่ เห็นลงในสมุดบันทึกอย่างคร่าวๆ ก่อนกลับไปบันทึกอย่างละเอียดอีกครั้ง
6. ความอดทนคือคุณสมบัติที่ดีและจำเป็นของนักดูนกและมักทำให้มีโอกาสได้พบนกดีๆ หากต้องการซุ่มดูนกควรสร้างบังไพรที่มีสีสันกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เพราะนกจะไม่ยอดเข้าใกล้วัตถุที่คิดว่าไม่ปลอดภัย
7. ข้อปฏิบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับนักดูนกทุกคนคือ ต้องมีความรับผิดชอบต่อนกไม่รบกวนนกจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสร้างรังวางไข่เพราะนกอาจตื่นกลัวจนทิ้งรังและลูกไป ได้ นักดูนกไม่ควรบุกรุกและเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยของนกหรือเป็นต้นเหตุชักนำ ศัตรูเข้าไป ต้องพึงสำนึกเสมอว่าความสุขของนกต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
 
 
 
 
สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ เป็น ส่วนประกอบที่ทำให้การบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับนกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น นกบางชนิดชอบปรากฏตัวเมื่ออากาศมืดครึ้ม ส่วนเหยี่ยวและนกกาบบัวชอบบินร่อนขึ้นสูงในวันที่แดดจ้า ซึ่งมีอากาศร้อน ( thermal ) ช่วยยกตัวมันขึ้น นกหายากบางชนิด อาจพบเห็นตัวได้หลังจากมีพายุไต้ฝุ่นหรือดีเปรสชั่นพัดหลงมา ในการบันทึกเราควรวาดภาพร่างคร่าว ๆ ของนกที่พบเพิ่มขึ้น เพื่อจะช่วยให้เราเก็บรายละเอียดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับนกชนิดนั้นได้ง่าย ยิ่งขึ้น ทั้งยังแสดงลักษณะพฤติกรรมที่นกแสดงออก เช่น การข่มขู่ การเกี้ยวพาราสี การหาอาหาร รวมทั้งลักษณะของสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การวาดภาพร่างจะสวยงามเพียงใด คงต้องขึ้นอยู่กับความชำนาญส่วนตัวและการฝึกฝน แต่ทุกคนสามารถที่จะวาดภาพร่างคร่าว ๆ ได้ เพียงให้ตัวเองสามารถจดจำและเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ทั้งยังอาจนำภาพร่างที่เราพบแต่บอกชื่อไม่ได้ไปถามผู้รู้ให้ช่วยจำแนกชนิด ได้ในภายหลัง ส่วนการบันทึกความรู้สึก เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เราอาจถ่ายทอดให้ผู้อื่น ได้ตื่นเต้น ดีใจ ประทับใจไปกับเรา ตรงกันข้ามเมื่อเราไปดูนกแล้วพบการดักจับล่านก การทำลายป่าดันเป็นบ้านของนก เราอาจรู้สึกเศร้าสลด หรือโกรธแค้น ความรู้สึกเหล่านี้ควรได้รับการจดบันทึก เพราะจะเป็นพลังในการสื่อสารถึงคนอื่นได้อย่างดี การบันทึกแผนที่ทางเดินและพื้นที่ดูนก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักสภาพแวดล้อมหรือพื้นที่ดีขึ้น และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน

Birds and the environment 6


เสียงร้องของนก นก ใช้เสียงร้องเป็นเครื่องมือสื่อสาร เสียงร้องของนกเกิดจากกล่องเสียงที่อยู่ปลายหลอดลมซึ่งลักษณะของกล่องเสียง ที่แตกต่างกัน ทำให้นกแต่ละชนิดมีเสียงร้องต่างกัน และนกสามารถเข้าใจเสียงร้องของนกชนิดเดียวกันได้เสียงของนกที่เราได้ยินแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. เสียงร้องเพลง ( song ) คือเสียงที่นกเปล่งออกมามีท่วงทำนองมีระดับเสียงสูงเสียงต่ำ ส่วนมากเป็นเสียงที่เราฟังแล้วรู้สึกไพเราะน่าฟังมักร้องติดต่อกันไปเป็น ทำนองสั้นบ้าง ยาวบ้างส่วนใหญ่มักร้องในฤดูผสมพันธุ์นกโตเต็มวัย ( ส่วนใหญ่เป็นตัวผู้ )
2. เสียงเรียก ( call ) คือเสียงที่นกเปล่งออกมาเพื่อใช้ในกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือไปจากการร้องเรียกความสนใจจากเพศตรงข้ามและการประกาศอาณาเขต ส่วนมากเป็นเสียงที่ไม่มีท่วงทำนองและร้องซ้ำๆ กัน ไม่ไพเราะ ส่วนมากจะร้อง 1-3 พยางค์ นกทั้งตัวผู้และตัวเมียมักส่งเสียงเรียกเหมือนๆ กัน เสียงเรียกแบ่งย่อยได้
2.1 เสียงที่ใช้ติดต่อกัน ( contact call )
2.2 เสียงตกใจ ( alarm call )
2.3 เสียงร้องขณะบิน ( flight call )
2.4 เสียงร้องขออาหาร ( begging call )
 
 
การแบ่งกลุ่มและชนิดของนก ใน การจัดแบ่งกลุ่มนกแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นนกป่า นกชายเลน นกในเมือง นกทุ่ง หรือกลุ่มนกกินปลา นกกินน้ำหวาน นกกินแมลง นกอพยพ นกประจำถิ่น เหล่านี้เป็นการจัดกลุ่มนกโดยอาศัยลักษณะร่วมของนกที่ปรากฎให้เห็นภายนอก เช่น แหล่งที่อยู่ อาหาร และพฤติกรรมอื่นๆ มาเป็นเกณฑ์การจำปนกกลุ่มของนกอย่างง่ายๆ ที่มีประโยชน์ต่อการดูนก
สำหรับ ในทางวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาใช้หลักอนุกรมวิธาน ในการจำแนกกลุ่มและชนิดของนกเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โดยอาศัยหลักฐานทางการวิวัฒนาการ (Phylogeny) โดยเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตที่มาจากสายวิวัฒนาการพวกเดียวกัน จะมีลักษณะทางอนุกรมวิธาน (Taxonomic character ) ซึ่งผสมผสานการจัดจำแนกลักษณะต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้น โดยจำแนกนกในประเทศไทยออกเป็น 20 อันดับ 86 วงศ์ และได้เพิ่มเติมนกชนิดที่พบใหม่หรือมีรายงานที่เชื่อถือได้ว่าพบในประเทศไทย ( ซึ่งยังไม่มีปรากฎในหนังสือคู่มือดูนกเล่มปัจจุบัน ) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงการจัดจำแนกชนิดใหม่ หรือพบว่าที่เคยบันทึกเอาไว้เกิดความคลาดเคลื่อนไปได้เพิ่มเติมไว้ในที่นี้ ซึ่งทำให้จำนวนนกในประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 960 ชนิด ( 2542)
 
 
เขตสัตวภูมิศาสตร์ของไทย แหล่ง กระจายพันธุ์ของนกในประเทศไทยจำนวนนก 960 ชนิดที่พบในประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของชนิดนกที่พบทั่วโลก นับว่าเป็นความหลากหลายที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากประเทศไทยตั้งอยู่ตอนบนแผ่นดินทางชายฝั่งตอนกลางของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้เป็นศูนย์รวมของชนิดนกที่กระจายพันธุ์มาจากอินเดียและพม่าทางด้าน ทิศตะวันตก ส่วนด้านทิศตะวันออกเป็นนกที่กระจายพันธุ์มาจากอินโดจีน ขณะเดียวกันทางภาคใต้ก็มีนกในเขตซุนดรากระจายพันธุ์ขึ้นมาจากมาเลเซีย บางชนิดมาไกลจากอินโดนีเซียเลยทีเดียว นอกจากนี้ภูเขาสูงทางภาคเหนือยังเชื่อมต่อกับที่ราบสูงธิเบต จึงมีนกบนภูเขาสูงจากด้านตะวันออกของหิมาลัยและตะวันตกเฉียงใต้ของจีนแพร่ กระจายมาด้วย

Birds and the environment 5


ช่วงฤดูผสมพันธุ์ เป็น ช่วงที่มีความสำคัญกับนกมากที่สุด เพราะเป็นโอกาสที่นกจะได้ผสมพันธุ์และออกลูก เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป นกแต่ละชนิดต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อฤดูผสมพันธุ์มาถึง ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่มีอาหารสมบูรณ์พอสำหรับเลี้ยงดูลูกนกให้รอดชีวิต นกส่วนใหญ่จึงมักวางไข่ในช่วงปลายฤดูแล้งไปจนถึงกลางฤดู แต่นกน้ำจะเลือกผสมพันธุ์กันในช่วงปลายฤดูฝน เพราะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก มีอาหารอุดมสมบูรณ์สำหรับเลี้ยงลูกนกใน แต่ละปีนกต้องผสมพันธุ์อย่างน้อย 1 ครั้ง  และนกมักจับคู่ผสมพันธุ์กันในถิ่นเดิมทุกปี แม้นกย้ายถิ่นยังต้องบินกลับไปสร้างรังวางไข่ยังถิ่นเดิม เพราะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกนก
 
ช่วงผลัดขน เป็น ช่วงเวลาที่นกแสดงพฤติกรรมน่าสนใจอีกช่วงหนึ่งของปี คือ เป็นช่วงที่นกผลัดเปลี่ยนขนชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ชำรุดหรือฉีกขาด นกส่วนใหญ่ผลัดขนปีละครั้ง ส่วนใหญ่ผลัดขนหลังฤดูผสมพันธุ์ แต่นกที่มีการอพยพย้ายถิ่นจะผลัดขนปีละ 2 ครั้ง นกบางชนิดผลัดขนทั้งที่ขนชุดเก่ายังใช้งานได้ดี เพื่อให้ได้ขนชุดใหม่ที่มีสีสันสดใสขึ้น สำหรับดึงดูดเพศตรงข้ามในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เช่น นกชายเลน การ ผลัดขนเกิดขึ้นตามลำดับที่คงที่เจาะจง เช่น เริ่มจากขนปีกไปตามลำดับ และแม้ว่าจะอยู่ในช่วงผลัดขน แต่นกส่วนใหญ่ยังคงบินได้อยู่ แต่อาจมีนกเป็ดน้ำบางชนิดที่บินไม่ได้ในช่วงผลัดขนนกจะไม่ผลัดขนในช่วงฤดู ผสมพันธุ์ เพราะต้องการโปรตีนเพื่อให้ขนเจริญเติบโต และไม่เกิดในช่วงย้ายถิ่นด้วย เพราะนกต้องการขนที่มีสภาพดีพอที่จะบินได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นระยะไกล แต่จะผลัดขนในช่วงก่อนบินย้ายถิ่น
 
ช่วงย้ายถิ่น
การ อพยพย้ายถิ่นของนกเป็นวงจรชีวิตที่สำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความ เปลี่ยนแปลง ของฤดูกาลเนื่องจากนกต้องการอาหารสำหรับเลี้ยงชีพและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะ สมในการดำรงชีวิตตลอดทั้งปี นกที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนมักไม่ต้องย้ายถิ่น เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และมีอาหารการกินตลอดทั้งปี
 
 

Birds and the environment 4

การรับความรู้สึก นก ก็เหมือนสัตว์ทั่วไปที่จำเป็นต้องมีประสาทรับความรู้สึกที่ดี ประสาทรับความรู้สึกของนกบางอย่างอาจถูกดัดแปลงจนมีประสิทธิภาพดีกว่าของ สัตว์อื่น โดยเฉพาะในส่วนของการมองและได้ยิน ทั้งนี้เพื่อการใช้ชีวิตให้อยู่รอดในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการบิน หากิน หรือหลบหลีกศัตรู จำเป็นต้องพึ่งประสาทรับความรู้สึกทั้งสิ้น
ตานก นก มีตาขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว นกที่หากินกลางวันมีลูกตารูปทรงกลมหรือแบน ส่วนนกหากินกลางคืนมีลูกตาทรงกระบอก นกมีหนังตาชั้นที่ 3 เป็นอวัยวะเด่นที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ใช้สำหรับเปิดปิดนัยน์ตาแทนการกระพริบตาด้วยหนังตาชั้นนอก และช่วยป้องกันตาเมื่อนกบินปะทะลม
การรับรู้เสียง หู ของนกได้รับการพัฒนาอย่างมาก และทำงานประสานกับประสาทการทรงตัว นกไม่มีใบหู หูนกเป็นช่องอยู่ตรงข้างหัว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ หูชั้นนอก เป็นช่องนำคลื่นเสียงเข้าสู่เยื่อแก้วหู แล้วส่งต่อไปยังหูชั้นกลาง และถ่ายทอดผ่านเยื่อบางๆ ที่กั้นอยู่ไปสู่หูชั้นใน พวกนกเค้าที่หากินกลางคืนมีโครงสร้างของหูไวต่อเสียงมาก ทำให้ในที่มืดไม่ว่าเหยื่อจะเคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบสักเพียงใด นกเค้าก็ยังสามารถได้ยินเสียงและรู้ตำแหน่งของเหยื่อได้
 
 
การรับรู้กลิ่น ความ สามารถในการรับรู้กลิ่นของนกมีน้อย เนื่องจากได้รับการพัฒนาน้อยมาก แต่นกกีวีในนิวซีแลนด์มีการรับรู้กลิ่นดีมาก เพราะนกกีวีสายตาไม่ค่อยดีและออกหากินในตอนกลางคืน จึงต้องใช้การดมกลิ่นในการหาอาหาร โดยใช้รูจมูกที่ติดอยู่ตอนปลายของปากสูดกลิ่นดินที่ขุดลงไป เพื่อหาไส้เดือนเป็นอาหาร แร้งก็เป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่มีการรับรู้กลิ่นดีกว่านกชนิดอื่น
การรับรู้สัมผัส นก ไม่สามารถรับรู้สัมผัสได้ดี เพราะผิวหนังของนกมีขนปกคลุมอยู่ แต่นกก็มีเซลล์รับความรู้สึกสัมผัสเหมือนกัน ส่วนมากอยู่บริเวณปาก โดยเฉพาะนกที่ต้องหาอาหารด้วยวิธีใช้ปากทิ่มลงไปในเลน เช่น นกชายเลน ต้องใช้การรับรู้สัมผัสช่วยด้วยเวลาหาอาหาร
 
 
 
พฤติกรรมของนกในรอบปี
ในแต่ละช่วงเวลาของปี หากเราเฝ้าสังเกตรายละเอียดพฤติกรรมของนก นอกเหนือจากที่นกได้แสดงออกในแต่ละวัน จะพบว่านกทุกชนิดล้วนมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา บางช่วงจะพบนกส่งเสียงร้องดังอยู่ตลอดเวลา ขณะที่บางฤดูกลับสงบเงียบ บางครั้งอาจได้พบนกชนิดแปลกๆ ใกล้บ้านแต่บางเวลานกที่เราเคยพบเห็นอยู่ประจำกลับมีสีสันเปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวงจรชีวิตของ นก ซึ่งมีความสัมพันธ์กันสำหรับการดำรงชีวิตของนกท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในรอบหนึ่งปีวงจรชีวิตของนก

Birds and the environment 3

นก มีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากปากในการดำรงชีวิตหลายประการ ทั้งนี้นกสามารถใช้ปากทำพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นการจิกฉวยสิ่งของ กินอาหาร สร้างรังหรือช่วยป้องกันตัว ปากของนกมีแผ่นแข็งเป็นปลอกหุ้มอยู่ บริเวณใกล้โคนปากด้านบนยกสูงเป็นเส้นเล็กน้อย และมีช่องจมูกเปิดออกตรงบริเวณนี้ นกแต่ละชนิดมีปากต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับอาหารที่กิน
นกกินเนื้อสัตว์ มีปากงองุ้มแหลมคม เพื่อฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆ ก่อนกลืนลงไป เช่น เหยี่ยว นกเค้า
นกกินเมล็ดพืช มีปากสั้นแข็งแรง เพื่อขบเมล็ดพืชที่มีเปลือกให้แตก เช่น นกกระจาบ นกกระติ๊ด
นกกินปลา มีปากยาวแหลมตรง เพื่อจับสัตว์น้ำได้อย่างรวดเร็ว เช่น นกยาง นกกะเต็น ส่วนนกอ้ายงั่ว จะใช้ปากแหลมพุ่งแทงทะลุตัวปลา แล้วจึงโผล่มากินบนผิวน้ำ สำหรับนกกาน้ำที่มีปากยาวเช่นกัน แต่ตรงปลายปากจะงุ้มแหลมลงมาเพื่อจับปลาไม่ให้หลุด นกปากห่างมีปากแบบพิเศษที่มีช่องตรงกลาง ปากแยกห่างออกจากกัน เพื่อใช้คาบหอยโข่งที่กลมลื่นไม่ให้หลุด
นกกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ มีปากเรียวยาวและโค้งลงเล็กน้อย เพื่อให้สามารถสอดเข้าไปในเกสรเช่น นกกินปลี
นกกินแมลง มีปากสั้นแบนกว้าง และมีขนแข็งที่โคนปากไว้ช่วยต้อนแมลงเข้าปาก เช่น นกตบยุง นกแอ่น ส่วนนกหัวขวานมีปากขนาดใหญ่ยาวตรงและแข็งแรง
นกเป็ดน้ำมีปากแบนใหญ่เพื่อใช้ไซ้หาอาหาร เช่น นกบางชนิดงอนขึ้น เช่น นกชายเลนปากงอน



Birds and the environment 2

ขนนก
ขน ( feather ) ปกคลุมลำตัวของนกเป็นโครงสร้างพิเศษที่พบได้เฉพาะในนกเท่านั้น ขนนกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ขนคอนทัวร์ ( contour ) เป็นขนที่พบมากที่สุดบนตัวนก คลุมอยู่ชั้นนอกสุด ไม่ว่าจะเป็นขนปกคลุมตัว ขนปีก และขนหาง เป็นขนที่บอกรูปร่างและสีสันของนกแต่ละตัว และทำหน้าที่ในการทรงตัวปรับทิศทางขณะบิน
2. ขนดาวน์หรือขนอุย ( down ) เป็นขนที่สั้นและนุ่มมาก ก้านขนด้านนอกสั้นหรือไม่มีเลย ขนดาวน์ซ่อนอยู่ใต้ขนคอนทัวร์ และพบมากกกับลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่ใหม่ๆ ทำหน้าที่ช่วยรักษาความร้อนไม่ให้สูญเสียไปจากร่างกาย ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
 
 
 
ปีกแคบและสั้น เหมาะสำหรับการบินเร็วๆ ช่วงสั้น ส่วนใหญ่พบในนกที่อาศัยอยู่ตามป่า เช่น นกเขา นกปรอด
ปีกแบน เรียวบาง และ ลู่ไปทางด้านท้าย ช่วยให้บินได้เร็วและเลี้ยวไปมาอย่างคล่องแคล่ว พบในนกที่บินหากินตลอดเวลา เช่น นกนางแอ่น และนกที่บินย้ายถิ่นเป็นระยะทางไกลๆ เช่น นกชายเลน
ปีกแคบและยาว เหมาะสำหรับการร่อนโดยเฉพาะ พบในนกทะเลที่ชอบร่อนเหนือน้ำทั้งวันโดยแทบไม่กระพือปีกเลย เช่น นกบู๊บบี้
ปีกโค้งใหญ่และปลายขนปีกแยกจากกัน สำหรับร่อนที่สูงช่วยให้นกบินลอยตัวได้สูงขึ้นและร่อนตามลมได้ดี พบในนกขนาดใหญ่ที่ร่อนหากินระดับสูง เช่น นกอินทรี แร้ง
การบินของนกยังมีรูปแบบต่างกันออกไป 4 แบบ
1. การบินโบกปีก ( flapping ) เป็นการบินโบกปีกขึ้นลง แบบที่เห็นนกบินทั่วไป นกขนาดใหญ่จะประสบปัญหาเมื่อเริ่มต้นบิน ต้องใช้วิธีต่างๆ เพื่อช่วยพยุงตัว  
2. การบินร่อนลดระดับ ( gliding ) เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดของการบิน เพียงทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหน้าให้มากกว่าแรงด้านของอากาศ นกก็สามารถร่อนและลดระดับลงต่ำได้
3. การบินร่อนรักษาระดับ ( soaring ) โดยไม่ต้องโบกปีกเลย ส่วนใหญ่ต้องเป็นนกขนาดใหญ่ถึงจะร่อนแบบนี้ได้โดยไม่เสียการทรงตัว นกที่มีปีกกว้างใหญ่ เช่น นกอินทรี
4. การบินทรงตัวอยู่กับที่ ( hovering ) เป็นการบินโดยกระพือปีกเร็วๆ จนเกิดแรงยกต้านแรงโน้มถ่วงของโลกให้ทรงตัวนิ่งอยู่กลางอากาศ ส่วนใหญ่เป็นนกตามทุ่งโล่ง เช่น เหยี่ยวขาว นกกะเต็นปักหลัก อย่าง ไรก็ตามมีนกหลายชนิดบิน